วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พัฒนาการ 4 ช่วงสำคัญในลูกสุนัข

ช่วงแรกเกิด - อายุ 3 อาทิตย์ (First Critical Period)ใน ช่วงนี้ลูกสุนัขต้องพึ่งพาอาศัยแม่ตลอดเวลาเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความอบอุ่นก็ต้องซุกไซ้ที่ตัวแม่ เรื่องอาหารก็ต้องกินนมจากแม่ เรื่องความสะอาดก็ด้วยหลังจากกินนมแม่แล้ว ก็ต้องขับถ่ายเป็นะรรมดา หลังจากนั้นแม่ก็จะเลียทำความสะอาดตัวให้ลูกค่ะ

ช่วง 3 อาทิตย์ - 8 อาทิตย์ (Second Critical Period) ช่วงนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ ประสาทสัมผัสเริ่มทำงาน การได้กลิ่น การได้ยิน การมองเห็นและเริ่มเดินเริ่มคลานได้แล้ว ในช่วงนี้สภาพแวดล้อมที่ลูกสุนัขอยู่มีส่วนสำคัญมากๆกับทางด้านการปรับตัว ของพวกเค้า การที่ลูกสุนัขในคอกเดียวกันเล่นกันเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการเรียนรู้ เพราะเค้าจะเริ่มเรียนรู้ในการมีชีวิตแบบสัตว์สังคมโดยที่ตัวที่แข็งแกร่ง ที่สุดจะเป็นจ่าฝูง แต่ยังไงก็ตามลูกสุนัขก็ยังควรต้องอยู่กับแม่จนถึงอายุ 8 อาทิตย์ และโดยธรรมชาติแม่สุนัขก็จะสอนให้ลูกรู้จักการเข้าสังคมกับสุนัขด้วยกัน หากเราแยกลูกสุนัขตั้งแต่เค้ายังอายุไม่เกิน 6 อาทิตย์อาจทำให้มีผลทางเสียต่ออารมณ์และนิสัยของเค้าได้และสิ่งเหล่านี้ไม่ สามารถหาอะไรมาทดแทนได้ในภายหลังค่ะ หลังจากลูกสุนัขอายุ 4 อาทิตย์ขึ้นไปคนถึงควรมีส่วนร่วมในการดูแลควบคู่กับแม่สุนัขจนถึงอายุ 8 อาทิตย์ที่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่เราจะแยกลูกสุนัขออกจากแม่มันได้ค่ะ
ยังคงเหลืออีก 2 ช่วงที่ยังไม่ได้พูดถึงเราจะมาต่อกันในฉบับหน้านะคะ ที่ Pet Paradise Park เรามีหลักสูตรการฝึกลูกสุนัขเบื้อง ต้นด้วยตัวคุณเอง เรียนเป็นกลุ่มค่ะเป็นการฝึกให้เค้าหัดเข้าสังคมตั้งแต่เล็กนะคะ ใช้เวลาในการเรียนแค่ 4 สัปดาห์เท่านั้นค่ะ แล้วคุณจะรู้ว่าการฝึกลูกสุนัขในเรื่องพื้นฐานนั้นมันง่ายกว่าที่คุณคิดเยอะ ค่ะ ท่านใดสนใจโทรสมัคร-สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่



ช่วง 8 อาทิตย์ - 12 อาทิตย์ (Third Critical Period) ลูก สุนัขอายุ 8 อาทิตย์เหมาะสมที่สุดและพร้อมที่จะแยกออกจากแม่และพี่น้องในคอกค่ะ และพร้อมที่จะไปอยู่บ้านใหม่ค่ะ ลูกสุนัขในช่วงนี้จะเริ่มมีพฤติกรรมสร้างความรำคาญให้กับแม่เค้า อย่างเช่น ฟันขึ้นแล้วแต่ยังอยากดูดนมแม่ แม่ก็ต้องเจ็บสิค่ะก็เลยจะเริ่มขู่ๆไม่อยากให้ลูกกินนมแล้ว นอกจากนั้นพวกมันก็รู้จักการมีชิวิตและการเรียนรู้แบบหมาๆอย่างเพียงพอแล้ว จากแม่ และก็มีความคุ้นเคยกับคนมากพอที่จะรู้จักปรับตัวกับเจ้าของใหม่แล้วค่ะ

ใน ช่วงนี้การฝึกลูกสุนัขสำคัญมากเนื่องจากเราจะช่วยสร้างและพัฒนานิสัยที่ดี ให้เค้าๆได้แต่เราจะไม่ฝึกเค้าแบบสุนัขโตนะคะ เราควรจะฝึกเค้าจากพฤติกรรมตามธรรมชาติของเค้าหรือตามสัญชาตญาณของเค้าค่ะ

การ ฝึกให้เข้าสังคมกับคนก็ควรทำอย่างต่อเนื่องเพื่อฝึกให้เค้ายอมรับว่าเค้า ต้องมีชิวิตอยู่รวมกันกับมนุษย์ค่ะ เราอาจจะพาเค้าออกไปเดินเล่นซัก 5-10 นาทีทุกวันเพื่อให้เค้าคุ้นเคยกับคนมากขึ้นเรื่อยๆก็ได้ หรือจะพาเค้าไปในที่แปลกๆเพื่อฝึกให้เค้ารู้จักปรับตัวและไม่ขี้ขลาดขี้กลัว ด้วยก็ได้ เช่น ลองพาเดินริมถนนที่มีรถผ่านเยอะๆ, สถานีรถไฟ, ป้ายรถเมล์ หรือที่ๆมีเสียงแปลกๆดังค่ะ



ช่วง 12 อาทิตย์ - 16 อาทิตย์ (Fourth Critical Period)
ถือ ได้ว่าเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดเลยนะคะ เพราะว่าอาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่เราจะฝึกเค้าให้หัดเข้าสังคมกับคนและ สุนัขจากบ้านอื่นรวมถึงการปรับตัวให้กับสิ่งแวดล้อมค่ะ เพื่อให้เกิดประสิทธิผลอันสูงสุดในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม เพราะถ้าหากลูกสุนัขไม่ได้รับการฝึกสิ่งต่างๆอย่างเพียงพอในช่วงนี้ก็อาจจะ ไม่สามารถทำให้เค้าโตขึ้นมาเป็นสุนัขนิสัยดีที่ใครๆก็อยากมีได้ อาจจะทำให้เค้าเป็นสุนัขที่ขี้ระแวง ขี้กลัว ขี้ตกใจ ตื่นเต้นง่าย เข้ากับคนหรือสุนัขจากบ้านอื่นไม่ได้ค่ะ การฝึกในสิ่งที่กล่าวมานั้นควรจะฝึกไปเรื่อยๆตั้งแต่ลูกสุนัขอายุ 16 อาทิตย์จนถึง 12 เดือนเลยค่ะ

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิธีเลี้ยงลูกหมาแรกคลอดให้ปลอดภัย ตอนแรก

ปัจจัยที่มีผลต่อการรอดชีวิตของลูกหมาแรกคลอดนั้นมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น

- สารอาหารและการหย่านม

- การจัดการเรื่องการขับถ่าย

- อุณหภูมิและความชื้น

- การป้องกันโรคติดต่อ

- การเข้าสังคม

แต่วันนี้จะขอเน้นถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดคือการเลี้ยงดูลูกหมาแรกคลอด ให้ปลอดภัย นั้นคือ การป้อนนมลูกหมาแรกคลอดให้ปลอดภัย ซึ่งมีด้วยกัน 10 ขั้นตอนนั้นนี้ค่ะ
ขั้นตอนที่ 1 ใช้ขวดนมสำหรับลูกหมา “เริ่มดีมีชัยไปกว่าครึ่ง”

นั้นหมายถึง เริ่มต้นเลี้ยงลูกหมาแรกคลอดให้ดี ก็หมายถึงโอกาสรอดของลูกหมาก็มีมากกว่า 50 เปอเซนต์ ซึ่งการเริ่มต้นที่ดีในการป้อนนมก็ต้องเริ่มจากกการเลือกขวดนมที่เหมาะสม นั้นคือ เราควรเลือกใช้ขวดนมสำหรับลูกหมา ซึ่งจุกนมจะเล็กไม่ใหญ่เกินไปเหมือนจุกนมเด็กทารก
ขั้นตอนที่ 2 ใช้นมคุณภาพสูง

เราควรเลือกนมสำหรับลูกหมามาใช้ป้อนให้ลูกหมาโดยเฉพาะ ไม่ควรให้นมผงเด็ก หรือนมกล่อง หรือนมข้นหวาน มาใช้ชงเลี้ยงลูกหมา เพราะนมโค หรือนมเด็ก นั้นไม่เหมาะสำหรับเลี้ยงลูกหมา เพราะมักจะทำให้ลูกหมาท้องเสียได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังคลอดใหม่ๆ ช่วง 72 ชั่วโมงแรก จำเป็นต้องใช้นมลูกหมาคุณภาพสูง ซึ่งดูเหมือนจะราคาแพงหน่อย แต่คุณภาพก็ดีตามราคาค่ะ
ขั้นตอนที่ 3 ชั่ง-ตวง-วัด ปริมาณน้ำนมที่ใช้ในแต่ละวัน

ในการให้นมลูกหมานั้นเราจำเป็นต้องกำหนดปริมาณน้ำนมสำหรับลูกสัตว์ในแต่ละวัน เพื่อจะได้ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป โดยมีสูตรดังนี้

อายุลูกหมา ปริมาณนมที่ให้กินในแต่ละวัน

1 อาทิตย์ 13 ซีซี

2 อาทิตย์ 17 ซีซี

3 อาทิตย์ 20 ซีซี/น้ำหนักตัว 100 กรัม

4 อาทิตย์ 22 ซีซี/น้ำหนักตัว 100 กรัม

การตวงนมนั้นอาจใช้ไซริงค์ หรือกระบอกฉีดยาดูดเอาก็ได้ ส่วนน้ำหนักตัวของลูกหมานั้น ก็ใช้ตาชั่งเล็กๆ ที่ใช้ชั่งอาหารทำครัว ซึ่งราคาประมาณ 300-400 บาทหาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตได้ค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ปอมเมอเรเนียน

ลักษณะทั่วไป : ปอมฯ เป็นสุนัขขนาดเล็ก ลำตัวสั้นกระทัดรัด น้ำหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ มีการแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ขี้ประจบ แต่เป็นสุนัขค่อนข้างตกใจง่าย เห่ามาก ยิ่งตัวเล็กยิ่งเห่าเก่ง
สัดส่วน : น้ำหนักของปอมฯ โดยเฉลี่ยแล้วจะหนักประมาณ 3-7 ปอนด์ (ประมาณ 1.25-3 กก.) แต่ขนาดที่ดีสำหรับการประกวดนั้นควรหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ (1.7-2.5 กก.) ถ้าสุนัขหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ถือว่าผิดมาตรฐาน รูปร่างของสุนัขมีความสำคัญกว่าขนาดของสุนัข ช่วงตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะโพกจะสั้นกว่าหรือเท่ากับส่วนสูงตั้งแต่ช่วงไหล่จนถึงพื้น กระดูกมีขนาดปานกลาง
นิสัยและอารมณ์ : สุนัขปอมฯ เป็นสุนัขที่เปิดเผย แสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด การเคลื่อนไหว : การเดินหรือการเคลื่อนไหวต้องเป็นไปอย่างอิสระราบเรียบ นุ่มนวล แลดูแข็งแรง เวลาเดินขาหน้าต้องเหยียดตรงไม่งอพับขึ้น ข้อศอกไม่กางออก ส่วนขาหลังต้องไม่ถ่างออก ขาหลังจะเคลื่อนไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกันกับขาหน้าที่เคลื่อนที่ไป

ขน : สุนัขปอมฯ มีขน 2 ชั้น คือ ขนชั้นใน (UNDERCOAT) ต้องนุ่มและแน่น ขนชั้นนอก(OUTTERCOAT) ต้องยาวตรงเป็นประกายและหยาบ ขนชั้นในที่หนาแน่นจะช่วยพยุงขนชั้นนอกให้ฟูไม่ลู่ เหยียดตรง ขนจะต้องหนาแน่นตั้งแต่ช่วงคอ หน้าอก ช่วงไหล่ด้านหน้า ขนช่วงหัวและขาจะแน่นแต่สั้นกว่าขนช่วงลำตัว ขนหางยาว หยาบและเหยียดตรง การตัดแต่งเล็มขนให้ดูสวยงามและดูเรียบร้อยไม่ถือเป็นข้อผิด
สี : สีที่ได้รับการยอมรับและรับรอง ควรได้รับการพิจารณาการตัดสินอย่างเท่าเทียมกัน สีที่ได้รับการยอมรับได้แก่
1. สีใดๆ ก็ได้ที่ขึ้นเป็นสีเดียวกันทั้งตัว หรืออาจจะมีสีที่อ่อนหรือแก่กว่าแซมอยู่ด้วย (SELT-COLOR)
2. สีแซมกัน 2 สี (PARTI-COLOR) หมายถึงปอมฯ ที่มีสีขาวและมีสีอื่นแซมเป็นพื้นๆ กระจายเท่าๆ กันทั่วตัว และควรมีแถบสีขาวบนหัวด้วย
3. สีดำและน้ำตาล (BLACK AND TAN) หมายถึงปอมฯ มีสีดำที่มีสีน้ำตาลอยู่เหนือตาทั้ง 2 ข้างและปาก ลำคอ หน้าอก ใต้หาง ขาและเท้าทั้ง 4 ข้าง สีน้ำตาลนี้ยิ่งเข้มยิ่งดี
4. BRINDLE ได้แก่ปอมฯ ที่มีพื้น คือ สีทอง แดงหรือส้ม และมีสีดำแซมอยู่ทั่วทั้งตัว

ไซบีเรียน ฮัสกี้

ไซบีเรียน ฮัสกี้ เป็นสุนัขที่ชนเผ่าชัคชิ (Chuckchi) ในไซบีเรียได้เพาะขึ้นมายาวนานกว่า 3,000 ปีมาแล้ว เพื่อใช้ในการลากเลื่อนบรรทุกสิ่งของหรือเป็นพาหนะในพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ ประกอบกับที่ชนกลุ่มนี้ได้ทุ่มเทเวลาเกือบทั้งหมดกับการเพาะพันธุ์สุนัข ไซบีเรียน ฮัสกี้จึงได้กลายมาเป็นสุนัขลากเลื่อนพันธุ์แท้ที่มีประสิทธิภาพในการลากเลื่อนสูงสุดในบรรดาสุนัขลากเลื่อนทั้งหมด ทั้งนี้เนื่องจากสุนัขมีน้ำหนักเบา คล่องตัว ว่องไว แข็งแรง อดทนต่อความหนาวเย็นและความอดอยากในฤดูหนาวได้ดี รวมทั้งมีความอดทนต่อความเหนื่อยล้าเป็นที่หนึ่ง จึงทำให้สามารถลากเลื่อนด้วยความเร็วเป็นเวลาติดต่อกันนานๆ ไซบีเรียน ฮัสกี้ เป็นที่รู้จักแพร่หลายในอเมริกา ในปี 1908 เมื่อพ่อค้าขนสัตว์ชาวรัสเซีย ชื่อ วิลเลี่ยม กูแซค (William Goosak) ได้นำสุนัขฝูงหนึ่งมาจากไซบีเรียเข้ามาในเมืองโนม ในอลาสก้า และได้นำสุนัขลงแข่งลากเลื่อน จนได้กลายมาเป็นสุนัขลากเลื่อนที่แพร่หลายที่สุดและได้รับชัยชนะบ่อยครั้งที่สุดในวงการลากเลื่อน
 

แหล่งที่มา http://rsu.netdesignhost.com/web/insidersu/sarnrangsit/jan2005/LIfeStyle.html

เชา เชา

ลักษณะทั่วไป : เชา เชาเป็นสุนัขที่เต็มไปด้วยพละกำลัง ลำตัวสั้นกระทัดรัด มีความแคล่วคล่องว่องไวและตื่นตัวอยู่เสมอ มีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและมีโครงสร้างที่สมดุลมาก ลำตัวเป็นสี่เหลี่ยม ศีรษะกว้างและแบน สันจมูกกว้างและสั้น มีขนขึ้นหนาแน่นโดยเฉพาะที่รอบคอ ขาใหญ่ตั้งตรงและแข็งแรง ขนมีความมันเป็นประกาย ลักษณะเด่นของเชา เชาคือ มีความเป็นเอกลักษณ์ มีความสง่างามและมีความเป็นธรรมชาติ เปรียบเสมือนกับเป็นราชสีห์ หน้าตาดุดันแข็งขัน สงบและว่างท่าอย่างสุขุมเป็นผู้ดี มีความเป็นอิสระและมีการตัดสินใจที่ดี                 
 

โกลเด้น รีทรีฟเวอร์

ลักษณะทั่วไป : โครงสร้างได้สัดส่วน และดูแข็งแกร่งทรงพลัง เป็นสุนัขที่มีความกระตือรือร้นตลอดเวลา ค่อนข้างสงบเสงี่ยม ไม่ส่งเสียงโดยไม่มีเหตุผล มีขนาดปานกลาง ไม่เทอะทะเก้งก้างจนดูเกะกะ
เป็นสุนัขที่มีนิสัยค่อนข้างจะเป็นมิตรกับทุกๆ คน ดังนั้นจึงสามารถพาไปไหนมาไหนโดยไม่สร้างปัญหา มีความเฉลียวฉลาด ว่านอนสอนง่าย เป็นสุนัขที่มีความปราดเปรียวและอดทน ลีลาในการย่างก้าวหรือไหวเป็นไปด้วยความนิ่มนวล

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

บีเกิ้ล

เป็นสายพันธุ์สุนัขมีถิ่นกำเนิดในประเทศสหราชอาณาจักร  จัดอยู่ในจำพวกสุนัขล่าเนื้อ(Hound) มีขนสั้นและหูปรก  เป็นสุนัขที่มีประสาทด้านการดมกลิ่นเป็นเลิศ  ที่พัฒนาสายพันธ์ขึ้นมาครั้งแรก ด้วยจุดประสงค์เพื่อเป็นผู้ช่วยมนุษย์ในกีฬาการล่าต่างๆ ด้วยประสาทด้านการดมกลิ่นที่ไวมาก จึงได้มีการฝึกให้เป็นสุนัขตรวจสอบของผิดกฎหมาย อย่างเช่น ยาเสพติด วัตถุระเบิด ฯลฯ   บีเกิ้ลยังเป็นสุนัขอารมณ์ดี และสุขภาพแข็งแรงทนทานต่อโรค ด้วยคุณสมบัตินี้เอง บีเกิ้ลยังถูกใช้ในงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์อีกด้วย สุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลมีมากว่า 2000 ปีแล้ว     สุนัขพันธุ์นี้มีชื่อเสียงมากที่สุดตัวหนึ่งของโลกและมีชื่อเสียงมากในยุคของพระนางอลิซาเบท  ซึ่งปรากฏในงานวรรณกรรม จิตรกรรม ภาพยนตร์ โทรทัศน์ และหนังสือการ์ตูนเรื่องสนู๊ปปี้

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

8 วิธีอ่านหนังสือสอบได้อย่างเซียน

     เมื่อลองย้อนเวลากลับไปในสมัยที่เรียนอยู่ ช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดคือ ช่วงเวลาแห่งการท่องตำราสอบ ไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับไหนก็หลีกเลี่ยงการท่องตำราสอบกันไม่ได้ทั้งนั้น เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่า อยากให้มีเวลาเยอะกว่านี้
      เพื่อจะได้อ่านหนังสือสอบให้ทัน วันนี้เราจึงรวบรวมเทคนิคการอ่านให้ได้ประสิทธิภาพ ที่คิดว่าพอจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับการอ่านมานำเสนอ ดังนี้
   1. หัดให้ตัวเองมีวินัยให้ได้ คือ ถ้าเราวางแผนว่าจะอ่านหนังสือให้ได้เท่านี้สำหรับวันนี้ เราก็ต้องทำให้ได้ วิธีฝึกเริ่มแรกให้กำหนดง่ายๆ ก่อนว่า วันนี้เราจะอ่านตำราแค่ 1 บท หรือ 10 หน้า เป็นต้น เอาแค่นี้ให้ได้ ถ้าอ่านจบเร็วก็ไปทำอย่างอื่น พอวันต่อๆ ไปก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นตามสมควร แล้วก็ต้องอ่านให้ได้ตามเป้าหมาย เมื่อเราอ่านได้ตามเป้าแล้วในแต่ละครั้งก็อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยทุกครั้ง โดยรางวัลก็อาจจะเป็นอะไรง่ายๆ เช่น ได้ดูละครหนึ่งเรื่องตอนกลางคืน เป็นต้น
    2. วางแผนการอ่านหนังสือ เมื่อเรามีวินัยและเคารพการวางแผนของตัวเองแล้ว ต่อไปก็ต้อง วางแผนการอ่านหนังสือ การวางแผนที่ดีนั้นสำคัญมาก เพราะทำให้เราเดินไปถูกทิศทาง การวางแผนไม่ถือเป็นการเสียเวลา แต่เป็นการประหยัดเวลาในระยะยาว เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาเดินผิดทาง
   3. อย่าตะบี้ตะบันอ่านเกินควร อย่าคิดว่าตัวเองเป็น superman คือ สามารถอ่านหนังสือได้เยอะเกินกำลังภายในเวลาอันสั้น อย่าวางตารางการอ่านให้แน่นเกินไป เพราะนอกจากจะทำไม่ได้ตามแผนอยู่แล้ว ยังทำให้ตัวเองเครียดเพราะแผนนั้นโดยไม่จำเป็นด้วย แรกๆ อาจจะกะความสามารถตัวเองยากหน่อย หรือการอ่านตำราภาษาอังกฤษกับภาษาไทยก็ใช้ระยะเวลาการอ่านไม่เท่ากัน ก็ใช้เก็บสถิติจากการอ่านในรอบแรกๆ เช่น การอ่านภาษาอังกฤษ 1 หน้า เราใช้เวลา 10 นาที เราก็จะประมาณถูกว่าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะอ่านจบบทหรือจบวิชา เป็นต้น
    4. หาที่อ่านที่สงบเงียบและนั่งสบาย ส่วนบรรยากาศก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบอ่านที่บ้าน ในห้องสมุด ในสวนมีต้นไม้เขียวๆ หรือในร้านกาแฟ หรือบางทีเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ควรไม่อยู่ใกล้ทีวี หรือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราเสียสมาธิ เพราะทำให้เราเสียเวลาในการอ่าน และทำให้จำได้ไม่ดีด้วย แต่ก็ทราบมาว่าบางคนจะชอบให้มีเสียงเพลงหรือเสียงอื่นๆ เวลาอ่านหนังสือด้วย อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบ
   5. อย่าให้สิ่งใดมารบกวนการอ่าน เวลาอ่านหนังสือ เราควรกำหนดว่า เวลานี้เราจะตั้งใจ และไม่ปล่อยให้อะไรมาขัดโดยไม่จำเป็น เช่น อาจจะปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น คนอื่นก็จะไม่มารบกวนโดยไม่จำเป็น การได้ทำงานหรืออ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาติดต่อกันอย่างนี้มีประสิทธิภาพกว่าการอ่านที่ถูกหยุดด้วยสิ่งต่างๆ
6. พักผ่อนสมองบ้าง เมื่ออ่านหนังสือไปนานๆ เราก็จะเริ่มล้า ทั้งสมองที่ต้องคิด ทั้งร่างกายที่ไม่ได้ขยับ ทั้งสายตาที่ต้องจ้องอยู่นาน เราก็ควรกำหนดเวลาพัก อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ อาจจะพักอ่านหนังสือทุกๆ ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง โดยออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ ทานขนม หรือไปมองต้นไม้เขียวๆ เวลาพักก็ต้องกำหนดด้วยว่า 5 นาที หรือ 15 นาที เป็นต้น
7. ชอบขีดเส้นหรือเน้นข้อความที่สำคัญในหนังสือโดยไม่หวงหนังสือ ว่าจะดูเลอะเทอะเลย เพราะชอบเวลากลับมาอ่านทวน เราก็จะรู้ว่าจุดไหนเป็นข้อมูลสำคัญ เรายังสามารถใช้ทบทวนก่อนสอบได้ด้วย สำหรับคนที่ชอบหนังสือใหม่ๆ เกลี้ยงๆ ก็อาจจะต้องหาสมุดกับปากกามาจดสิ่งที่สำคัญจากหนังสือนั้นๆ เพื่อการอ่านทบทวนได้
8. พยายามจัดเวลาอ่านหนังสือในช่วงเวลาที่เราตื่นตัวที่สุด อันนี้แตกต่างกันไป บางคนจะจำได้ดีถ้าอ่านตอนเช้า บางคนเป็นตอนเย็น ก็ต้องสังเกตตัวเองดู ถ้าทราบแล้วอาจจะกำหนดเป็นเวลาประจำทุกวัน เช่น ทุกวันเวลา 2 ทุ่ม - 5 ทุ่ม เราต้องอ่านตำราทบทวนที่เรียนมา เป็นต้น
อย่าลืมทบทวนตำราเรียนทุกวันนะคะ แล้วเอาเทคนิคทั้ง 8 ไปใช้ดู เผื่อประสิทธิภาพในการอ่านจะทำให้เกรดภาคเรียนต่อไปดีขึ้นทันตาก็ได้